แหล่งปิโตรเลียมภาคเหนือ
ความเป็นมาของแหล่งน้ำมัน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
ประมาณก่อนปี พ.ศ.2464 ชาวบ้านท้องที่ อ.ฝาง พบน้ำมันลักษณะสีดำ ไหลซึมขึ้นมาบนผิวดิน บางคนว่าเป็นน้ำมันศักดิ์สิทธ ิ์ นำมาทาร่างกายรักษาโรคต่างๆ ความทราบถึงเจ้าหลวงเชียงใหม่ จึงสั่งให้ขุดบ่อเพื่อกักน้ำมันไว้ เรียกว่า “บ่อหลวง” หรือ “บ่อเจ้าหลวง”
ต่อมาหน่วยราชการหลายฝ่ายสนใจทำการสำรวจ และ ดำเนินการติดต่อกันมาหลายสมัย พอสรุปได้ดังนี้
สมัยกรมรถไฟ พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเป็น ผู้บัญชาการรถไฟ ทรงทราบถึงการค้นพบน้ำมันที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ จึงทรงติดต่อว่าจ้าง นักธรณีวิทยาชาวอเมริกันชื่อ Mr.Wallace Lee มาทำการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2464 - 2465 รวม 2 ปี พร้อมกันนั้นได้ทรงสั่งเครื่องเจาะ และว่าจ้างชาวอิตาเลียน ทำการเจาะบริเวณบ่อหลวง จำนวน 2 หลุม หลุมแรกลึก 216 เมตร การเจาะขัดข้อง พบเพียงร่องรอยแก๊สธรรมชาติ อีกหลุมหนึ่ง อยู่บริเวณใกล้เคียง เจาะลึก 185 เมตร ท่อกรุขาด จึงระงับการเจาะไป
สมัยกรมทาง กรมทางเข้ามาดำเนินงานในปี พ.ศ.2475 อธิบดีในขณะนั้นคือ ม.ล.กรี เดชาติวงค์ มีวัตถุประสงค์หาปริมาณทรายน้ำมันที่อยู่ใกล้ผิวดิน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อกรมทาง ในการใช้แทนยางแอสฟัลต์ การสำรวจใช้เครื่องเจาะสว่านหมุนด้วยแรงคนเรียกว่า เครื่องเจาะบังก้า เจาะลึกประมาณ 10 - 20 เมตร ผลการสำรวจได้ปริมาณทรายน้ำมันประมาณ 3.8 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนั้นกรมทางยังใช้เครื่องเจาะที่สามารถเจาะได้ 200 เมตร ทำการเจาะอีกหลายหลุม ปรากฏว่าพบน้ำมันในระดับความลึก ประมาณ 70 เมตร เรียกหลุมที่เจาะพบน้ำมันว่า “บ่อระเบิด” กรมทางพยายามผลิตน้ำมันออกมาได้ 40,000 ลิตร พร้อมทั้งสร้างโรงกลั่นทดลองเพื่อกลั่นน้ำมันที่ได้มา แต่เนื่องจากขาดอุปกรณ์ ขาดความชำนาญ รวมทั้งกิจการน้ำมันมิใช่หน้าที่ของกรมทาง งานทั้งหมดจึงต้องยุติลง
สมัยกรมเชื้อเพลิงทหารบก กรมเชื้อเพลิงทหารบกเริ่มงานสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2480 ด้วยการว่าจ้าง นักธรณีวิทยาชาวสวิส 2 นายคือ Dr.Arnold Heim และ Dr.Hans Hirchi ทำการสำรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย 3 นาย ด้วยการตรวจสอบสภาพธรณีวิทยาผิวดินและขุดบ่อตื่น ๆ ด้วยแรงคนหลายบ่อ เพื่อหาทิศทางการซึม ของน้ำมันขึ้นมาบนผิวดิน การสำรวจดำเนินไป ประมาณเดือนเศษ จึงได้เลิกล้มไป
สมัยกรมโลหะกิจ กรมโลหะกิจเข้าดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ.2492 - 2499 โดยใช้ชื่อหน่วยงานว่า “หน่วยสำรวจน้ำมันฝาง” ขั้นแรกทำการสำรวจธรณีวิทยาผิวดินและทางอากาศ สำรวจธรณีฟิสิกส์ ปี พ.ศ.2499 สั่งซื้อเครื่องเจาะชนิด Rotary เจาะได้ลึก 1,000 - 1,500 เมตร จากประเทศเยอรมันนี ทำการเจาะพบน้ำมันที่ระดับความลึกประมาณ 230 เมตร บริเวณบ่อต้นขาม ต่อมาเรียกว่า “แหล่งน้ำมันไชยปราการ” ต่อมา ซื้อเครื่องเจาะขนาดเล็ก ชนิดติดตั้งบนรถยนต์จากสหรัฐอเมริกา ตลอดจน อุปกรณ์ทำหลุมสำเร็จรูป ดำเนินการเจาะทำหลุมสำเร็จรูประดับ 200 - 300 เมตร เป็นบางหลุม ทางด้านการกลั่น ได้สร้างโรงกลั่นทดลองขนาดเล็ก ทำการกลั่นเป็นคราว ใช้น้ำมันดิบประมาณ 1,000 ลิตร ดำเนินการกลั่นในระหว่างปี พ.ศ.2497 - 2499
การดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาน้ำมัน อ.ฝาง ในความควบคุมของกรมโลหะกิจนั้น มีคณะกรรมการทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่ชุดหนึ่ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการมีความเห็นว่า ในด้านการเจาะน้ำมันนั้น ควรทำการ เจาะสำรวจเป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านการกลั่น ก็มุ่งในการทำแอสฟัลต์
สำหรับพื้นที่อำเภอฝางนั้นเดิมมีโรงกลั่นน้ำมันโรงแรก คือ โรงกลั่นน้ำมันทดลอง ซึ่งออกแบบและสร้างขึ้นโดยนายช่างไทย ของกรมโลหะกิจ และทำพิธีเปิดโรงกลั่น เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2498 ได้ลงมือทดลองกลั่นในวันนั้น ปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ โรงกลั่นทดลองนี้เป็น แบบกลั่นทีละครั้ง กล่าวคือ เมื่อบรรจุน้ำมันดิบเข้าไปในหม้อกลั่นครั้งหนึ่ง ก็ทำการกลั่นไปจนกระทั่งได้ผลิตภัณฑ์ ที่ต้องการ แล้วก็ถ่ายเอากากกลั่นในหม้อออก แล้วบรรจุน้ำมันดิบเข้าไปใหม่และทำ การกลั่นครั้งต่อไปอีก
สมัยกรมการพลังงานทหาร ในปี พ.ศ. 2496 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรจะขยายงานด้านเชื้อเพลิงให้ครอบคลุมไปถึงพลังงานอื่น ๆ ที่จะจัดสรรหา มาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติจึงได้ลงมติให้กระทรวงกลาโหม ดำเนินงานขยายกิจการด้านองค์การเชื้อเพลิง ให้ครอบคลุมไปถึงพลังงานอื่น ๆ ด้วย กระทรวงกลาโหมจึงมีคำสั่ง (พ) ที่ 76/27217 เมื่อ 30 ตุลาคม 2496 ตั้งกรมการพลังงานทหาร และ ปรับปรุงขยายกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
เดือนมีนาคม พ.ศ.2499 Dr.Harold Hutton ผู้เชี่ยวชาญด้านปิโตรเลียม ได้ไปดูกิจการของ หน่วยสำรวจน้ำมันฝาง แล้วรายงานว่า น้ำมันดิบที่ฝางเป็นน้ำมันที่ควรกลั่นออกขายได้ และเสนอให้มีการสำรวจเพิ่มเติม เพื่อตั้งโรงกลั่นขนาด 1,000 บาเรล ถ้าหากมีปริมาณเพียงพอ ดังนั้น คณะรัฐมนตรี จึงมีมติให้โอน กิจการน้ำมันฝางไปขึ้นกับกรมการพลังงานทหาร เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2499 กิจการปิโตรเลียมเป็นที่สนใจของหน่วยทหารบก เพื่อสำรวจหาน้ำมัน มาสนับสนุนกองทัพ กรมการพลังงานทหารจึงได้ก่อตั้ง กองสำรวจและผลิตวัตถุดิบขึ้นเมื่อ วันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2499 เพื่อรับโอนงานจากกรมโลหะกิจ หลังจากที่ดำเนินการสำรวจ ผลิต และกลั่นน้ำมันที่ฝางได้ระยะหนึ่ง ได้ทำการขยายพื้นที่การสำรวจในลุ่มแอ่งภาคเหนืออีก 5 ลุ่มแอ่ง คือลุ่มแอ่งเชียงใหม่ ลุ่มแอ่งลำปาง ลุ่มแอ่งแพร่ ลุ่มแอ่งเชียงราย และลุ่มแอ่งพะเยา
กรมการพลังงานทหารจึงได้ขออนุมัติจัดสร้างโรงกลั่นน้ำมันขนาด 1,000 บาเรลขึ้น และก็ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี กรมการพลังงานทหารจึงได้ว่าจ้างบริษัท รีไฟนิ่ง แอสโซซิแอต จำกัด เป็นผู้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างในวงเงิน 56 ล้านบาท โดยได้เริ่มก่อสร้างเมื่อ 31 มกราคม 2501 แล้วเสร็จเมื่อ 27 ธันวาคม 2502 ซึ่งในขณะนั้นกรมการพลังงานทหาร มีหน่วยขึ้นตรงที่อำเภอฝาง อยู่ 2 หน่วย คือ กองสำรวจและผลิตวัตถุดิบ และ กองโรงงานกลั่นน้ำมันที่ 1 โรงกลั่นน้ำมันได้ถูกออกแบบไว้ ้เพื่อทำการกลั่นน้ำมันดิบไชยปราการ ซึ่งเป็นน้ำมันดิบชนิดหนัก มีค่าความถ่วง เอพีไอ 16 องศา ประกอบด้วยหน่วยกลั่นต่างๆ ดังนี้
- หน่วยกลั่นบรรยากาศ (TOPPING UNIT)
- หน่วยกลั่นสูญญากาศ (VACUUM INIT)
- หน่วยกลั่นแยกสลาย (THERMAL CRACKING UNIT)
- หน่วยฟอกแก๊สโซลีน (GASOLINE TREATING UNIT)
- หน่วยฟอกน้ำมันหล่อลื่น (LUBE OIL TREATION UNIT)
- หน่วยผสมแก๊สโซลีน(GASOLINE BLENDING UNIT)
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบไชยปราการมีดังนี้ - น้ำมันดีเซลหมุนปานกลาง 8%
- น้ำมันหล่อลื่นเกรดต่างๆ 27%
- น้ำมันแคร๊กแก๊สโซลีน 8%
- น้ำมันเตาหนัก 57%
น้ำมันดิบจากแหล่งไชยปราการมีปริมาณสำรองเพียง 200,000 บาเรลเท่านั้น เมื่อโรงกลั่น ดำเนินการกลั่นเต็มกำลังการผลิต วันละ 1,000 บาเรล สามารถกระทำได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง น้ำมันดิบที่สูบขึ้นมา ก็มีปริมาณลดลง ไม่พอป้อนโรงกลั่น จึงจำเป็นต้องหยุดกลั่นเป็นระยะๆ เพื่อสะสมน้ำมันดิบ
ต่อมาในปี2506 กองสำรวจและผลิตวัตถุดิบได้สำรวจพบน้ำมันดิบแหล่งใหม่ ในบริเวณตำบลแม่สูนหลวง เป็นน้ำมันดิบ ต่างประเภทกับ น้ำมันดิบไชยปราการ มีส่วนผสมของน้ำมันเบาและไขพาราฟีนสูง นับว่าสามารถแก้ปัญหา การขาดแคลนวัตถุดิบของโรงกลั่นไปได้ระยะหนึ่ง แต่โรงกลั่นก็ต้องประสบกับ ปัญหาทางด้านอุปกรณ์การกลั่น ถ้าจะต้องทำการกลั่น น้ำมันดิบแหล่งใหม่ ี้ให้ได้ผล คุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรของชาติ จะต้องมีการปรับปรุงขบวนการผลิต ซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณ 57 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าได้รับอนุมัติเพียง 34 ล้านบาท กรมการพลังงานทหาร จึงได้ใช้งบประมาณดังกล่าว ดัดแปลงหอกลั่น ให้สามารถกลั่น น้ำมันดิบแม่สูนหลวง ได้เท่าที่ได้รับงบประมาณ